อย่าเป็นนักจับผิด.
คนเราส่วนใหญ่มีแนวโน้มชอบจับผิด
เราแต่ละคนชอบจับผิดมากกว่าจับถูก เวลาเราเขียนจุดเล็กๆจุดหนึ่ง บนแผ่นกระดาษเอสี่จุดเดียว ถ้าถามว่า เราเห็นอะไรมากกว่ากัน ระหว่างจุดหนึ่งจุดกับแผ่นกระดาษสีขาวทั้งหมด คนส่วนใหญ่จะติดอกติดใจตรงจุดๆเดียว มีผลไม้หนึ่งผล ถ้ามันช้ำอยู่หนึ่งจุดเมื่อหยิบมาพลิกดูคนจะไปติดตรงที่มันช้ำ มนุษย์มักจะเป็นอย่างนั้น ครั้งหนึ่งอาตมาภาพเคยไปออกรายการโทรศัพน์ พูดอยู่เป็นชั่วโมงพอเดินกลับออกมามีโยมโทรศัพท์เข้ามา บอกว่า วันนี้ทำไมพระอาจารย์ดูผมยาวกว่าทุกครั้ง
อาตมาเลยถามกลับว่า นี่อาตมาพูดเป็นชั่วโมงนี่รู้เรื่องไหม ไม่รู้ค่ะ แต่รู้ว่าวันนี้ท่านผมยาว ก็มันยังไม่ถึงเวลาโกนไงเห็นไหม คือเวลาดูนี่ดูทุกจุด แล้วจุดดีๆ ไม่สนใจ ที่เราพูดมาเป็นชั่วโมงไม่สนใจ กลับไปดูที่อื่น บางครั้งดูแม้กระทั้งมือไม้นะ ดูว่าเรายกไม้ยกมือประกอบ แต่ธรรมมะไม่รู้เรื่อง มองหาจุดนั้นจุดนี้ไปเรื่อยมนุษย์ไม่ค่อยมองภาพรวม แต่ชอบมองจุดใดจุดหนึ่งซึ่งเป็นจุดเล้กๆและเป็นจุดที่เสียหาย ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง มีกุฎิหลายสิบหลัง แบ่งเป็นแถว กุฏิทุกหลังหันหน้าเข้าหากันเพื่อให้พระแต่ละรูปตรวจสอบซึ่งกันและกัน หน้ากุฎิแต่ละหลังมีก๊อกน้ำให้พระได้ใช้สอยซักผ้า ซักจัวร เป็นน้ำดื่ม น้ำฉันน้ำใช้
มีกุฎิหลังหนึ่งซึ่งมีหลวงตาแก่ๆ เป็นเจ้าของ หลวงตารูปนี้ท่านเป็นนักจับผิด วันหนึ่งท่านไปบินฑบาตรแต่เช้าตรู่เลยย่ะ 7 โมงเช้ากลับมาเห็นกุฎิอีกหลังหนึ่งเปิดน้ำทิ้งไว้ ท่านไม่ได้ตรงปี่เข้าไปปิดหลอกตามนิสัยนักจับผิด แต่ท่านเดินขึ้นกุฎิตัวเองแล้ว ลากเก้าอี้มานั่งแอบมองอยู่ข้างหน้าต่าง ดูซิว่าจะมีใครผ่านมาแล้วจะปิดไหม แทนที่ท่านจะปิดน้ำเสียเอง กลับลากเก้าอี้มานั่งข้างหน้าต่างทอดตามองผ่านไปมา มีคนเดินผ่านมาหนึ่งคน หลวงตาแกก้ลุ้นว่า ปิดไม่ปิด ปิดไม่ปิด ผ่านมาปุ๊บไม่ปิดน้ำ ท่านขีดหนึ่งเลยน่ะ ผ่านไปโดยไม่ปิดน้ำเดินผ่านมาสองคนเห็นน้ำไหลออกมา ยังไม่มีใครปิด ขีดสองขีด สามขีด สี่ขีด ห้าขีด หกขีด ทั้งหมดได้สิบสามขีด แสดงว่ามีคนเดินผ่านจุดนั้น 13 คน เห็นน้ำไหลแต่ไม่มีใครปิด ท่านยิ้มเป็นที่พอใจมาก
พอถึงวันศุกร์ท่านนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม สวดมนต์เสร็จ ท่านก็ลุกขึ้นพูดในห้องประชุม รู้ไหมวัดเราทุกวันนี้ค่าน้ำก็ขึ้น ค่าไหก็ขึ้นเพราะพวกเรานั้นเห็นแก่ตัว มีอยู่วันหนึ่งน่ะ กุฎิตรงข้ามผมนี่ เปิดน้ำทิ้งไว้ตั้งแต่เช้า ผมนั่งสั่งเกตุดู มีคนเดินผ่านมา 13 คนไม่มีใครปิดเลย ด้วยเหตุนี้ค่าไฟ ค่าน้ำ มันถึงได้ขึ้น เณรฟังอยู่ก็รำคาญมาก จึงพูดขึ้นว่า หลวงตาครับ ก็หลวงตาเห็นคนแรกแล้วทำไมหลวงตาไม่ปิดเองเสียเลยคับ เห็ฯไหม เจออย่างนี้หลวงตาก็ไม่รู้จะไปอย่างไรเหมือนกัน เพราะจ้องจะจับผิดแต่คนอื่นเลยลืมว่าตัวเองก็บกพ่องเหมือนกัน ฉะนั้นผู้รู้จึงบอกว่า เวลาเราชี้นิ้วว่าใคร สี่นิ้วที่เหลือกำเข้าหาตัวเราหมดเลย แต่เรารู้ไหม เราไม่รู้ ในขณะที่เราพยายามจะจับผิดคนอื่น เราได้มองข้ามตัวเองไป กิเลสของเราฟูขึ้น ฟูขึ้น คนที่คอยจับผิดคนอื่นนั้น จิตใจจะหม่อนหมอง เพราะเขาเห็นแต่ของเน่าคนอื่นทำอะไรดีๆ ให้ดูไม่ดู จะหาช่องดูแต่ของที่ไม่ดี แต่คนที่มีปัญญานั้นเขาจะไม่เป็นนักจับผิด แต่เขาเป็นนักจับถูกนักจับถูกเป็นอย่างไร ต้องดูตัวอย่างท่านพุทธทาส
ท่านพุทธทาสท่านอยู่ที่สวนโมกข์ วันหนึ่งมีพระในวัดนั้นแหละ เข้าเชื่อกันมายาวเป็นหางว่าว ฟ้องท่านอาจารย์พุทธทาสว่า หลวงพ่อครับ มีพระอยู่รูปหนึ่งไม่ช่วยทำกิจของสงฆ์ นอนก็ตื่นสาย ไม่บิณฑบาต พระอย่างนี้นี่ถ้าหลวงพ่อไม่ไล่ออกไป พวกผมจะออกเองครับ ท่านพระพุทธทาสจึงได้เรียกพระรูปนั้นมา ท่านเป็นนักจับถูกนี่ ท่านไม่เชื่อข้อมูลที่ได้รับรายงาน ท่านก็เรียกพระพุทธนั้นมาในที่ประชุมแล้วถามว่าป็นอย่างไร เขาว่าเธอไม่ได้ทำอะไรเลยนี่จริงหรือเปล่าพระรูปนั้นก็บอกว่า หลวงพ่อครับ ผมนี่ตื่นมาตั้งแต่ตีสาม ล้างหน้าล้างตา พอตีสี่ผมก็ไปเคราะระฆังให้ทั้งวัดได้ลุกขึ้นมาสวดมนต์เคาะระฆังเสร็จผมก็เลยกับมาจำวัด นั่นแหละครับงานที่ผมทำ ท่านพุทธทาสยิ้ม เออ มันก็ยังมีดีอยู่นี่หว่า อย่างน้อยทุกเช้ามันเคาะระฆัง ถ้าอย่างนั้นฉันยังไม่ไล่เธอออก พระทั้งหมดผิดหวังไปตามๆกัน พระรูปอื่นมองไม่เห็นความดีของท่าน ฉะนั้นคนที่ถูกว่าเสียทั้งหมดนี่นะ ถ้าเรามองดีๆ ก็มีข้อดีอยู่ในนั้น
แต่คนส่วนใหญ่นี่มักจะเอาจุดที่ผิดนิดเดียวไปลบความดีทั้งหมดแล้วบอกว่าใช้ไม่ได้ ในโลกนี้ไม่มีใครดีทั้งหมดและไม่มีใครเสียไปทั้งหมดหลอก ไม่มีประโยชน์ที่เราจะไปเสียเวลาจับผิดคนอื่นหลอก
……………………………………………